วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 (COVID-19 vaccine) จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสนี้ขึ้นมา ช่วยป้องกันการติดเชื้อหากได้รับเชื้อในอนาคต แต่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งหลังฉีดวัคซีนร่างกายจึงจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้ การฉีดวัคซีนผู้รับวัคซีนยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เช่น ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่างทางสังคม เป็นต้น

วัคซีนอาจไม่สามารถป้องกันทุกคนที่ฉีดจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ แต่พบว่าสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ และยังไม่มีข้อมูลว่าเมื่อฉีดแล้วจะมีภูมิคุ้มกันโควิด-19 ได้นานเท่าไร รวมถึงไม่มีข้อมูลว่าผลการฉีดวัคซีนให้ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันนั้น ทำให้ภูมิต่อไวรัสโควิด-19 มีผลลดลงกว่าในคนปกติหรือไม่

ระบบภูมิคุ้มกันแต่กำเนิด คืออะไร?

ระบบภูมิคุ้มกันแต่กำเนิด (Innate immune system) เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับระบบภูมิคุ้มกันประเภทนี้ ถูกถ่ายทอดจากพันธุกรรม คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเองเพื่อป้องกันและสกัดเชื้อโรค ซึ่งเป็นกลไกที่ไม่จำเพาะเจาะจงกับเชื้อโรคชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น ผิวหนัง เยื่อบุ เยื่อเมือกต่าง ๆ ช่วยขัดขวางไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย หรือ กรดในกระเพาะอาหาร น้ำตา เหงื่อ ช่วยทำลายเชื้อโรคก่อนเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงเซลล์เพชฌฆาต (Natural Killer Cells; NK Cells) ที่พร้อมต่อสู้กับเนื้องอก เซลล์มะเร็ง หรือการติดเชื้อไวรัสอย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดการติดเชื้อ  เพื่อทำให้ร่างกายเราปลอดภัยจากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น ซึ่งถือเป็นการป้องกันเชื้อโรคชั้นแรกของร่างกาย โดนภูมิคุ้มกันเเบบนี้มีมาตั้งเเต่เกิด โดยทารกที่มีอายุครรภ์ 5 สัปดาห์ จะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันได้เอง เเต่ยังสร้างได้น้อยมาก เนื่องจากเริ่มมีการเจริญของอวัยวะน้ำเหลือง

วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก

วัคซีนไข้เลือดออก (Dengue vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (live, attenuated) ผลิตโดยใช้เทคโนโลยี recombinant DNA นำส่วน Pre-Membrane (prM) และ envelope gene ของไวรัสเดงกี่ ทั้ง 4 สายพันธุ์ มาใส่ในไวรัส Yellow fever สายพันธุ์ 17D จากนั้นนำไปเพาะเลี้ยงใน Vero cell เพื่อให้ได้วัคซีน Chimeric Yellow fever Dengue Tetravalent Dengue Vaccine (CYD-TDV) ซึ่งวัคซีนนี้จะออกฤทธิ์ โดยเชื้อไวรัสที่อ่อนฤทธิ์ไปแบ่งตัว และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ คือ ใช้ป้องกันโรคไข้เลือดออกที่มีสาเหตุจากไวรัสเดงกี่ ทั้ง 4 สายพันธุ์ 

วัคซีนป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือโรคฮิบ

วัคซีนป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือ วัคซีนฮิบ (Hib Vaccine) คือ วัคซีนที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อ Haemophilus influenzae type b (Hib) เชื้อฮิปเป็นกลุ่มแบคทีเรียที่สามารถอาศัยอยู่ในโพรงจมูกและลำคอของคนที่มีสุขภาพดีโดยไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆ  แบคทีเรียฮิบจะแพร่กระจายในลักษณะคล้ายกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยเชื้อโรคฮิบ จะผ่านไปกับละอองของเหลวจากการไอและจามของมนุษย์, การติดเชื้อโรคฮิบ ในทารกและเด็กเล็กสามารทำให้เกิดโรคปอดบวม,  กล่องเสียงอักเสบ, หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นปัจจุบันจึงใช้เป็นหนึ่งในวัคซีนทางเลือกโดยเฉพาะในเด็กที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคฮิบ   

วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี

โรคไข้สมองอักเสบเจอี  เกิดจากเชื้อไวรัสเจอี (Japanese encephalitis virus, JEV)   โดยมียุงรำคาญ ชนิด Culex tritaeniorrhynchus ซึ่งหากินเวลากลางคืนเป็นพาหะนำโรค ซึ่งโรคนี้ทำให้เกิดการอักเสบของระบบสมองส่วนกลาง ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ เป็นผลให้มีอัตราการตายสูง และก่อให้เกิดความพิการทางสมองในผู้ที่รอดชีวิต ส่วนใหญ่มักจะเป็นในเด็ก ระยะฟักตัวของโรค 5-15 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสนี้ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการ มีเพียงส่วนน้อยที่จะป่วยอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนพุ่ง มีอาการชักเกร็ง ไม่รู้สึกตัว  และอาจเสียชีวิตได้  แต่ถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะรอดชีวิตก็มักมีความพิการทางสมองหลงเหลืออยู่ ซึ่งโรคนี้ไม่มียารักษาเฉพาะ แต่สามารถป้องกันได้ด้วยฉีดวัคซีนป้องกันโรคใช้สมองอักเสบเจอี ส่วนใหญ่มักจะได้รับวัคซีนตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากได้รับคอร์สแรกแล้ว อาจต้องฉีดกระตุ้นทุก ๆ 4-5 ปี เพื่อให้ภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับสูงพอที่จะป้องกันโรคได้

วัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน

วัคซีน MMR เป็นวัคซีนที่สามารถป้องกันได้ถึง 3 โรค ได้แก่ โรคหัด (Measles) คางทูม (Mumps) และหัดเยอรมัน (Rubella) เมื่อนำอักษรภาษาอังกฤษตัวแรกของทั้ง 3 โรคมารวมกันจึงกลายเป็นชื่อวัคซีน MMR นั่นเอง

วัคซีน MMR เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live attenuated vaccine) ประกอบไปด้วยเชื้อไวรัสมีชีวิตที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลง ที่ผลิตจากเชื้อไวรัส Mump, Measles และ Rubella ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้เช่นเดียวกับวัคซีนป้องกันเดี่ยวๆ ของแต่ละโรค และมีผลข้างเคียงน้อย จึงได้รับความนิยมกว่าการฉีดวัคซีนแยกเดี่ยวๆ

วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก

วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน เป็นวัคซีนเชื้อตาย ที่ประกอบไปด้วยแอนติเจนของเชื้อไอกรน และ ท็อกซอยด์ของเชื้อคอตีบและบาดทะยัก ในประเทศไทยมีวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน อยู่ด้วยกัน 2 ชนิดหลักๆ ซึ่งมีส่วนประกอบ สูตร และส่วนผสมที่แตกต่างกันสำหรับใช้ในกลุ่มอายุต่างๆ:

วัคซีน DTaP หรือ DTwP วัคซีนนี้ใช้สำหรับทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ของชื่อย่อวัคซีนนี้บ่งบอกว่าปริมาณแอนติเจนของเชื้อไอกรน และท็อกซอยด์ของเชื้อคอตีบและบาดทะยัก ในวัคซีนนั้นมีปริมาณสูง

วัคซีน Tdap วัคซีนนี้ใช้สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป จนถึงผู้ใหญ่ ตัวอักษรพิมพ์เล็กภาษาอังกฤษ “d” และ “p” บ่งบอกถึงการลดปริมาณท็อกซอยด์ของเชื้อคอตีบและแอนติเจนของเชื้อไอกรนในวัคซีน เพื่อลดอาการข้างเคียงของวัคซีนที่อาจเกิดขึ้น

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B หรือ HBV) คือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ทำให้เกิดปฎิกิริยาต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับเชื้อมีการอักเสบของเซลล์ตับ และทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย

วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (Hepatitis B Vaccine) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี การฉีดวัคซีนนี้ช่วยในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถต่อต้านไวรัสได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความรุนแรงของโรคตับอักเสบบีเมื่อติดเชื้อ

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)  เป็นโรคตับที่เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ Hepatitis A virus (HAV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสกลุ่ม picornavirus ทำให้เกิดการอักเสบแบบเฉียบพลันของตับ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงตับอักเสบรุนแรงมาก โดยทั่วไปอาการจะหายเป็นปกติภายใน 2 เดือน 

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A Vaccine) ทำมาจากเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ที่ตายแล้ว เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอเป็นการป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ ที่ได้ผลเกือบ 100%  และภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ จะอยู่ติดตัวไปได้ตลอด  

วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ

วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ (Pneumococcal vaccine) เป็นวัคซีนสำหรับป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบได้มากกว่า 90 สายพันธุ์  ทำให้เกิดโรคตั้งแต่ คออักเสบ ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ และสามารถลุกลามไปยังอวัยวะในระบบหายใจ และอวัยวะสำคัญอื่น ๆ เป็นอันตรายถึงขั้นภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือดได้