โรคตับอักเสบ หมายถึง การอักเสบของตับ อันเนื่องมาจากสารเคมี การเสพยาเสพติด การดื่มสุรามากเกินไป หรือเชื้อไวรัสต่างๆ ไวรัสตับอักเสบมีหลายชนิด
ไวรัสตับอักเสบซี คือ หนึ่งในโรคที่ไม่ควรประมาท เพราะผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่จะไม่มีอาการผิดปกติ กว่าจะทราบว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ตับมักเริ่มเสื่อมมากแล้ว ซึ่งพบได้โดยการตรวจเลือดเท่านั้น
โรคไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคติดต่อทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์ คล้ายกับโรคไวรัสตับอักเสบบีระยะแรกจะทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน แต่โดยมากผู้ป่วยมักจะไม่แสดงอาการ หากปล่อยไว้โดยไม่รีบรักษา หรือไม่ได้รับการรักษาจะกลายเป็นไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง และในที่สุดจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่ ตับแข็ง และมะเร็งตับ ซึ่งสุดท้ายอาจส่งผลอันตรายถึงชีวิต
โรคไวรัสตับอักเสบซี คืออะไร?
ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดซี สามารถติดต่อกันทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่สามารถติดต่อกันได้ทางการให้นมบุตร การจาม หรือไอรดกัน การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำด้วยกัน และการใช้ถ้วยชามร่วมกัน
เชื้อไวรัสตับอักเสบซี เมื่อเข้าไปในร่างกายจะแบ่งตัวและอาศัยอยู่ในตับ ระยะแรกทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมักจะมีอาการไม่มาก ทำให้ผู้รับเชื้อไม่ทราบว่ามีตับอักเสบ
ประชากรทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีประมาณ 3% ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยโรคตับอักเสบซีมักจะไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ เพราะผู้ป่วยในระยะแรกของโรคมักจะไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง และประมาณเกือบ 8% ของผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีการติดเชื้อเรื้อรัง และตามมาด้วยตับอักเสบแบบเรื้อรังแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ค่อยมีอาการชัดเจน ผ่านไปประมาณ 10-30 ปีจึงเข้าสู่ระยะตับแข็ง และอีกสิบปีต่อมาจึงถึงระยะท้ายของโรคตับแข็ง เมื่อมีโรคตับแข็งเกิดขึ้นจะมีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ประมาณ 1-3% ต่อปี
สาเหตุไวรัสตับอักเสบซี
ไวรัสตับอักเสบซี สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางการรับเลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ได้ดังนี้
- การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
- การรับเลือดที่ไม่ผ่านการคัดกรองตรวจหาเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับเลือดก่อนปี พ.ศ. 2533 ซึ่งยังไม่มีการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
- การฉีดยาที่ใช้เข็มฉีดยาซ้ำๆ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- การสักหรือเจาะร่างกายด้วยเข็มที่ใช้ร่วมกับผู้อื่นซ้ำๆ
- การใช้สิ่งของที่อาจจะปนเปื้อนเชื้อไวรัสร่วมกัน เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน และใช้หลอดสูดสารเสพติด เช่น โคเคน
- ความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสจากหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์อยู่ที่ประมาณ 5%
- โรคไวรัสตับอักเสบซีไม่ติดต่อทางการกอด จูบ ไอ จาม
- การรับประทานอาหารที่ใช้อุปกรณ์ทานอาหารร่วมกัน หรือการสัมผัสใด ๆ ที่ไม่ปนเปื้อนเลือด
อาการไวรัสตับอักเสบซี
แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ตับอักเสบเฉียบพลัน
หลังจากไวรัสตับอักเสบซี เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำให้เกิดการ อักเสบของตับ แต่ส่วนมากผู้ป่วยจะไม่มีอาการ หรือถ้ามี จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ที่เรียกว่า ดีซ่าน ดังนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตัวเอง เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี แบบเฉียบพลัน
ระยะที่ 2 ตับอักเสบเรื้อรัง
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี จะเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่ง ในระยะแรกผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการ จนเมื่อตับถูกทำลายไปมากพอควรหรือมีการอักเสบของตับมาก ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ระยะที่ 3 ตับแข็ง
ในระยะแรกยังไม่มีอาการ หรือความผิดปกติ ผู้ป่วยยังสามารถมีชีวิต ทำงานได้ ตามปกติเหมือนเดิมจนกระทั่งผู้ป่วยสูญเสียการทำงานของตับมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเริ่มมี อาการต่าง ๆ ซึ่งอาการแสดงแบ่งเป็น 2 ระยะ
อาการที่เกิดจาการสูญเสียการทำงานของเซลล์ตับ ทำให้การสร้างสารอาหาร พลังงาน และการทำลายพิษต่าง ๆ ผิดปกติ อาจพบอาการ ดังนี้
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
- ท้องมาน ขาบวม
- ผิวดำคล้ำ แห้ง คันโดยไม่มีแผล หรือผื่นมากกว่าเดิม
- เลือดกำเดาออก เลือดออกตามไรฟัน
- ผิวหนังช้ำ เขียวง่าย
- สมองมึนงง ซึม สับสน หรือโคม่า
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ผอมลง
- ไวต่อยาหรือสารพิษต่าง ๆ มากกว่าปกติ
อาการที่เกิดจากภาวะตับแข็ง (Cirrhosis)
- อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ หรือถ่ายเป็นเลือด เนื่องจากมีการแตกของหลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร (Esophageal varices)
- ม้ามโต
- ซีด เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ
- มะเร็งตับ
การรักษาไวรัสตับอักเสบซี
แพทย์จะพิจารณาตามภาวะของโรค และโรคร่วมต่าง ๆ ที่ผู้ป่วยเป็น โดยโรคนี้สามารถรักษาให้หายได้โดยการรับประทานยาร่วมกับยาฉีด สามารถกำจัดเชื้อให้หายขาดอย่างถาวร โดยประเมินจากจำนวนเชื้อไวรัสในเลือดหลังการรักษา ซึ่งจะช่วยให้อาการตับอักเสบดีขึ้น และหายไป ป้องกันไม่ให้เกิดตับแข็ง และมะเร็งตับ ดังนี้
- ไวรัสตับอักเสบซี มีทั้งหมด 6 ชนิด หรือ 6 genotype ยารักษาไวรัสตับอักเสบซีชนิดรับประทานในปัจจุบันสามารถครอบคลุมการรักษาไวรัสได้ทั้ง 6 ชนิด โดยมีอัตราการหายขาดสูงมากกว่า 90% หากไม่มีโรคตับแข็งมาก่อน ผู้ป่วยต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ก่อนกินยารักษาไวรัสเสมอ
- เพื่อแพทย์จะได้ช่วยประเมินยาโรคประจำตัวที่รับประทานต่อเนื่องมาก่อนและเฝ้าระวังผลข้างเคียงของการรักษา ระยะเวลาในการรับประทานยาอยู่ระหว่าง 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัส (genotype) ภาวะตับแข็ง และการรักษาก่อนหน้านี้ เพื่อให้ผลการรักษามีความสำเร็จผู้ป่วยจำเป็นจะต้องรับประทานยาสม่ำเสมอและตรงเวลาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยา
- หลังการรักษาแล้วผู้ป่วยควรได้รับการตรวจติดตามการนับจำนวนไวรัสเมื่อครบ 3 – 6 เดือน เพื่อตรวจว่าหายขาดจากการติดเชื้อหรือไม่ ผู้ที่เป็นตับแข็งไปแล้วควรได้รับการทำอัลตราซาวด์ตับและเจาะเลือดตรวจค่า AFP ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งตับระยะต้น เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้จะยังคงมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้แม้ความเสี่ยงนั้นจะลดน้อยลงหลังรักษาไวรัสตับอักเสบแล้วก็ตาม
- ผู้ป่วยที่รักษาไวรัสตับอักเสบซีหายขาดแล้ว จะไม่ได้มีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อซ้ำ ผู้ป่วยจะยังสามารถติดเชื้อใหม่ได้หากรับเชื้อมาอีก
ตรวจโรคไวรัสตับอักเสบซี ที่ภูเก็ตตรวจได้ที่ไหน?
ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ให้บริการที่ใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมทั้งทีมงานที่มีความชำนาญ พร้อมให้คำปรึกษาและ การรักษา โดยคุณสามารถเข้ารับบริการได้ทั้ง walk-in หรือนัดหมายล่วงหน้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ
จองคิวออนไลน์ https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me
เวลาทำการ 🕙 10:00-18:00 น. ทุกวัน
เบอร์ติดต่อ ☎️ 096-696-2449
Line id : @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ) หรือ https://lin.ee/R1TKRDo
แผนที่ 📌https://goo.gl/maps/xu45eTQUTjgpukJa7
Website 🌐https://phuketmedicalclinic.com
ปรึกษาแพทย์หรือสอบถามเพิ่มเติมได้เลยนะครับ
Inbox : m.me/100483916443107
สุขภาพคุณให้เราดูแล#คลินิกภูเก็ต
Phuket #Clinic #ภูเก็ตเมดิคอลคลินิก