การรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน คือ การรักษาด้วยยาต้านเอชไอวีเท่านั้น เนื่องจากเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด โดยผู้ติดเชื้อจะได้รับยาต้านเอชไอวีอย่างน้อย 3 ชนิดร่วมกันเป็นสูตรยา แต่มีหลักการรักษา คือ ผู้ติดเชื้อต้องกินยาให้ตรงเวลาทุกวันต่อเนื่องตลอดชีวิต เพราะยาจะไปทำการยับยั้งการแบ่งตัวและการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส ถ้าหยุดกินเมื่อไหร่ก็จะทำให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและแพร่กระจาย

แนวทางการรักษาผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน

การรักษาผู้ที่ติดเชื้อ HIV และโรคเอดส์มีวิธีการอย่างไร?

ทันทีที่ผู้รับการตรวจ HIV ได้รับการยืนยันผลการตรวจเลือดเป็นบวก หรือติดเชื้อ HIV แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสในกลุ่ม ARV (Antiretroviral drugs) ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด เพื่อต่อสู้ และช่วยกันยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส HIV โดยการให้ยาในกลุ่มนี้พร้อมกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามากกว่าการรักษาด้วยยาชนิดเดียว กลุ่มยา ARV จะช่วยกันออกฤทธิ์ เสริมแรง ในการลดจำนวนเชื้อไวรัส HIV ให้ถึงจำนวนที่ไม่สามารถตรวจพบเชื้อ HIV ได้อีกต่อไป พร้อมกับช่วยฟื้นฟูและชะลอความเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีสภาพร่างกายที่แข็งแรงเป็นปกติดีให้มากที่สุด

  • ผู้ที่สงสัยว่าอาจติดเชื้อ HIV ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสโรค (Post-exposure prophylaxis: PEP) ควรรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อรับยา ARV เพื่อต้านเชื้อไวรัส และป้องกันไม่ให้ไวรัสพัฒนาไปอยู่ในระดับที่ตรวจพบและแสดงอาการได้
  • ผู้ที่ไม่มีเชื้อ HIV ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV สามารถพบแพทย์เพื่อขอรับยา ARV เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น ถือเป็นการใช้ยาเพื่อกันเชื้อไวรัส HIV ก่อนการสัมผัสโรค (Pre-exposure prophylaxis: PrEP) โดยผู้ที่มีความเสี่ยง จะต้องทานยาทุกวัน และพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายหลังจากสัมผัสกับความเสี่ยงแล้ว

จากผลการรายงาน พบว่าผู้ที่สัมผัสกับเชื้อ HIV ที่ทานยา ARV ภายใน 72 ชั่วโมง มีผลการตรวจร่างกายเป็นลบ หรือไม่พบเชื้อ HIV ในขณะที่ผู้ติดเชื้อจำนวนหนึ่งสามารถรักษาอาการติดเชื้อจนหายขาดด้วยวิธีการรักษาแบบพิเศษ เช่น การปลูกถ่ายไขกระดูก ดังนั้นเป้าหมายในการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบันจึงมุ่งเน้นให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่เจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์ รวมทั้งเพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไวรัส HIV สู่ผู้อื่นได้ ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อจะต้องมีวินัยในการทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ เป็นประจำทุกวัน และรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

ยาต้านรีโทรไวรัส

ยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretrovirals: ARVs)

ยากลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งไม่ให้เซลล์ของไวรัสแบ่งตัวขยายตัวแล้วแพร่กระจายลุกลามไปสร้างความเสียหายแก่เซลล์เนื้อเยื่ออวัยวะบริเวณอื่น ๆ ต่อไปได้

กลุ่มยาของยาต้านรีโทรไวรัส เช่น

  • Non–nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs): ได้แก่ ยาเอฟฟาไวเรนซ์ (Efavirenz) และเนวิราปีน (Nevirapine)
  • Nucleoside หรือ Nucleotide Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) เช่น ยาอาบาคาเวียร์ (Abacavir) ยาที่ใช้ร่วมกันอย่างทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir) กับเอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine) และลามิวูดีน (Lamivudine) กับซิโดวูดีน (Zidovudine)
  • Protease Inhibitors (PIs) ยายับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส เช่นยาอะทาซานาเวียร์ (Atazanavir) และอินดินาเวียร์ (Indinavir)

และยากลุ่มใหม่อื่น ๆ ที่อาจถูกนำมาใช้ เช่น

  • Entry หรือ Fusion Inhibitors เช่น เอนฟูเวอไทด์ (Enfuvirtide) และมาราไวรอค (Maraviroc) โดยยายับยั้งไวรัสจับตัวหรือเข้าสู่เซลล์เป้าหมาย อย่างเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4
  • Integrase Inhibitors ยายับยั้งกระบวนการทำงานของเอนไซม์อินทีเกรส เช่น ราลทีกราเวียร์ (Raltegravir) เอลวิทีกราเวียร์ (Elvitegravir) และโดลูทีกราเวียร์ (Dolutegravir)

ส่วนใหญ่แพทย์จะรักษาด้วยการจ่ายยาต้านร่วมกันหลายตัว (Antiretroviral Therapy: ART) เป็นการให้ยาต้านรีโทรไวรัสตั้งแต่ 3 ตัวยา จากยาข้างต้น 2 กลุ่มขึ้นไป เพราะไวรัสเอชไอวีสามารถแบ่งตัวแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว และเชื้อจะดื้อยาได้ง่าย หากได้รับยาเพียงแค่ตัวเดียว หรือแพทย์อาจจ่ายยาสูตรผสม (Fixed Dose Combination) ซึ่งเป็นการรวมยาต้านเอชไอวีหลายชนิดไว้ในยาเม็ดเดียว

ตรวจเอชไอวีเร็ว

การตรวจเอชไอวีเร็ว รักษาเร็ว ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคเอดส์ได้

การยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสพัฒนาสู่ระยะของโรคเอดส์ คือหลักการสำคัญของการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV การรับการตรวจวินิจฉัยโรคเร็วเมื่อสัมผัสกับความเสี่ยงและรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ผู้ที่ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันร่างกายคงที่ ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็ว มีสุขภาพที่แข็งแรง ช่วยลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น และช่วยให้ใช้ชีวิตตามปกติได้

ในปัจจุบัน โรคเอดส์ยังไม่พบวิธีการรักษาให้หายขาด การตรวจเลือดเมื่อมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันหรือเมื่อสัมผัสกับความเสี่ยง รวมถึงการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ HIV สาเหตุสำคัญของโรคเอดส์ ผู้ที่มีโรคแทรกซ้อน หรือโรคฉวยโอกาสจากโรคเอดส์ ควรเข้ารับการรักษาโรคแบบองค์รวมเป็นระบบ โดยแพทย์ผู้ชำนาญการสหวิชาชีพที่มีประสบการณ์การรักษาโรคซับซ้อน หรือโรคเฉียบพลันร่วมกันแบบบูรณาการ เพื่อช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้น และเพื่อช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตที่ยืนยาวได้

สามารถรับบริการตรวจเอชไอวี และขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับเอชไอวี ได้ที่ไหนในภูเก็ต

ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ให้บริการที่ใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมทั้งทีมงานที่มีความชำนาญ พร้อมให้คำปรึกษาและ การรักษา โดยคุณสามารถเข้ารับบริการได้ทั้ง walk-in หรือนัดหมายล่วงหน้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ
จองคิวออนไลน์ https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me
เวลาทำการ 🕙 10:00-18:00 น. ทุกวัน
เบอร์ติดต่อ ☎️ 096-696-2449
Line id : @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ) หรือ https://lin.ee/R1TKRDo
แผนที่ 📌https://goo.gl/maps/xu45eTQUTjgpukJa7
Website 🌐https://phuketmedicalclinic.com
ปรึกษาแพทย์หรือสอบถามเพิ่มเติมได้เลยนะครับ
Inbox : m.me/100483916443107
สุขภาพคุณให้เราดูแล#คลินิกภูเก็ต
Phuket #Clinic #ภูเก็ตเมดิคอลคลินิก